วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หน่วยที่4 การประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปด้านงานเอกสารด้วยโปรแกรม Microsoft Word

4.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโปรแกรม Microsoft Word

4.1.1 ความหมายของโปรแกรม microsoft word 

          โปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด เป็นโปรแกรมประมวลผลคํา ที่ผลิตโดยบริษัทไมโครซอฟท์ จึงนิยมเรียกว่าไมโครซอฟท์เวิร์ด ซึ่งปัจจุบันพัฒนามาถึงรุ่นหรือเวอร์ชั่น (Version) 2013 ตามปีค.ศ. ที่ผลิตออกมาจําหน่าย เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้สําหรับการพิมพ์งานเอกสารต่าง ๆ เช่น จดหมาย รายงาน หนังสือ หนังสือราชการ วิทยานิพนธ์เป็นต้น และสามารถจัดรูปแบบของเอกสารให้ดู สวยงาม นอกจากนี้ยังสามารถสร้างงานพิมพ์แบบคอลัมน์ (Column) ได้และในเวอร์ชั่นปัจจุบันได้มี การปรับความสามารถของโปรแกรมให้น่าใช้และทันสมัยมากขึ้น

4.1.2 ส่วนประกอบของโปรแกรม microsoft word 






1. หมายเลข 1 แถบชื่อเรื่อง (Title Bar) แถบชื่อเรื่อง เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงชื่อของไฟล์เอกสารที่กําลังใช้งานและแสดงชื่อของ โปรแกรมจากภาพงานเอกสารที่กําลังใช้งานมีชื่อว่า “Document1” และชื่อโปรแกรมที่กําลังใช้งาน คือ “Microsoft Word”

2. หมายเลข 2 แถบเครื่องมือด่วน (Quick Access Tool Bar) แถบเครื่องมือด่วน เป็นส่วนที่แสดงคําสั่งที่ต้องการใช้งานบ่อยๆ ปรากฏอยู่ด้านบนซ้าย ของหน้าต่างหรือเราสามารถสั่งให้แสดงอยู่ใต้ริบบอนก็ได้ที่แสดงในรูปของปุ่มรูปภาพ หรือไอคอนเราสามารถเพิ่มหรือลดจํานวนของเครื่องมือบนแถบเครื่องมือด่วนได้โดยการคลิกที่ ที่อยู่ด้าน ท้ายสุดของแถบเครื่องมือด่วน แล้วเลื่อนเมาส์คลิกในบริเวณคําสั่งที่ต้องการให้ปรากฏเครื่องมือบน แถบเครื่องมือด่วน โดยเครื่องมือที่จะปรากฏบนแถบเครื่องมือด่วนจะปรากฏเครื่องหมาย üหน้า เครื่องมือเหล่านั้น ในทํานองเดียวกันหากต้องการยกเลิกเครื่องมือบนแถบเครื่องมือด่วนก็กระทํา เช่นเดียวกัน แต่เครื่องหมาย üจะหายไป

3. หมายเลข 3 แท็บคําสั่ง “ไฟล์” (File Tab) แท็บคําสั่ง “ไฟล์” เป็นปุ่มรายการที่รวบรวมคําสั่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดการแฟ้มหรือ งานนําเสนอ ซึ่งประกอบด้วยคําสั่ง “ข้อมูล” “ใหม่” “เปิด” “บันทึก” “บันทึกเป็น” “พิมพ์” “แชร์” “ส่งออก” และ “ปิด”

4. หมายเลข 4 แท็บเครื่องมือหรือริบบอน (Ribbon) ริบบอน เป็นแท็บที่รวบรวมเครื่องมือคําสั่งต่างๆของโปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด ซึ่งจะถูก แบ่งออกเป็นแท็บ (Tab) ตามหมวดหมู่ของการใช้คําสั่ง ได้แก่แท็บ “หน้าแรก” “แทรก” “ออกแบบ” “เค้าโครงหน้ากระดาษ” “การอ้างอิง” “การส่งจดหมาย” “รีวิว” และ “มุมมอง”

5. หมายเลข 5 ไม้บรรทัด (Ruler) ไม้บรรทัด เป็นส่วนที่แสดงมาตราส่วนเช่นเดียวกับไม้บรรทัดทั่วไป เพื่อบอกระยะของ ข้อความในเอกสาร มีทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ใช้ได้ทั้งเป็นนิ้วและเซนติเมตร

6. หมายเลข 6 ตําแหน่งพิมพ์ (Cursor) ตําแหน่งพิมพ์หรือเคอร์เซอร์เป็นเครื่องหมายที่บอกตําแหน่งการพิมพ์งานในปัจจุบัน

 7. หมายเลข 7 แถบสถานะ (Status Bar) แถบสถานะ เป็นส่วนที่แสดงสถานะของการใช้งานเอกสารในขณะนั้น บางสถานะของ การทํางานส่วนนี้จะแสดงคําอธิบายการทํางานให้ทราบด้วย

8. หมายเลข 8 มุมมอง (View) เราสามารถใช้มุมมองของเอกสารในแบบต่าง ๆ จากริบบอน “มุมมอง” หรือใช้จากแถบ สถานะด้านมุมล่างขวามือตามหมายเลข 8 ก็ได้ซึ่งได้แก่มุมมอง “โหมดการอ่าน” “เค้าโครงเหมือนพิมพ์” และ “เค้าโครงเว็บ”

 9. หมายเลข 9 มุมมองย่อ/ขยาย มุมมองย่อ/ขยาย ใช้สําหรับปรับมุมมองของเอกสาร ซึ่งสามารถปรับได้ทั้งแบบย่อและ แบบขยาย โดยเปรียบเทียบได้จากตัวเลขแสดงเปอร์เซ็นต์ (Percent) ของการย่อ/ขยาย

 10. หมายเลข 10 แถบเลื่อน (Scroll Bar) แถบเลื่อน โดยปกติมีทั้งแนวตั้งและแนวนอน ใช้สําหรับการเลื่อนดูเอกสารทั้งในแนว บน-ล่าง และแนวซ้าย-ขวา



4.2 ความหมายและการใช้คำสั่งแถบเครื่องมือ

    แถบเครื่องมือ คือกลุ่มของคำสั่งที่ใช้บ่อย จัดไว้เป็นชุดๆ ปกติเมื่อเปิดโปรแกรม Microsoft Word ขึ้นมา โปรแกรมจะแสดงแถบเครื่องแถบเครื่องมือย่อยให้ผู้ใช้เลือกเครื่องมือต่างๆ ตามความเหมาะสมกับรูปแบบงานที่หำลังใช้งาน เมื่อนำตัวชี้เมาส์ไปวางบนปุ่มสักครู่ จะปรากฏชื่อนั้นขึ้นมา ถ้าต้องการใช้ปุ่มใดให้คลิกปุ่มนั้น1 ครั้ง แต่ละปุ่มมีหน้าที่แตกต่าง


4.3 ขั้นตอนการเปิด-ปิด ละบันทึกข้อมูลบนโปรแกรม Microsoft Word

4.3.1 ขั้นตอนการเปิดโปรแกรม microsoft word 
1.เลือกปุ่ม start 
2.เลือกProgram
3. เลือก microsoft office
4.เลือก microsoft word 2013 

4.3.2 ขั้นตอนการบันทึกข้อมูลบนโปรแกรม microsoft word 
1. เลือกเมนู file 
2. เลือก save as เพื่อระบุไดร์ฟที่ต้องการบันทึก 
3. ในส่วนของ file name ป้อนชื่อบันทึกข้อมูล 
4. เลือก save 

4.3.3 ขั้นตอนการปิดโปรแกรม microsoft word 
1. เลือกเมนู file
2. เลือกCloseปิดแฟ้มงาน 
3 .เลือกเมนู file 
4. เลือก Exit ปิดโปรแกรมการใช้งาน


4.4 การพิมพ์เอกสาร การเลือกข้อมูล คัดลอก และเคลื่อนย้ายข้อมูล

4.4.1 ขั้นตอนการพิมพ์เอกสาร 
1. เลือกแถบเครื่องมือ 
2. เลือกข้อความเพื่อจัดการข้อความ เช่น เลือกขนาดตัวอักษรเลือกรูปตัวอักษรโดยเลือกที่แถบเครื่องมือ 
3. วางเคอร์เซอร์ ณ ตำแหน่งที่ต้องการพิมพ์ข้อความ 
4. พิมพ์ข้อความที่ต้องการ 
5. เมื่อต้องการพิมพ์บรรทัดถัดไปกดปุ่ม enter 


4.4.2 ขั้นตอนการเลือกข้อความ (แรงเงา)
1.วางเคอร์เซอร์หน้าข้อความ
2. กดปุ่มเมาส์ซ้ายค้างล่างจากข้อความแรกไปจนถึงข้อความสุดท้ายที่ต้องการปรากฏสีดำบนข้อความ
4.4.3ขั้นตอนการคัดลอกข้อความ Copy 
1. เลือกข้อความที่ต้องการแรงเงา 
 2.วางเมาส์บนพื้นที่ที่เลือกข้อความ
 3. คลิกเมาส์ปุ่มขวาเลือก copy
 4. วางเคอร์เซอร์ณตำแหน่งที่ต้องการวางข้อความ
 5. คลิกเมาส์ปุ่มขวาเลือก paste options 


4.4.4 ขั้นตอนการตัดข้อความ 
1.เลือกข้อความที่ไม่ต้องการ
2. กดปุ่ม delete หรือเลือก cut บนแถบเครื่องมือถือกด enter


 4.4.5 ขั้นตอนการเรียกข้อความกลับคืน
เลือก Undo


 4.4.6 ขั้นตอนการเคลื่อนไหวข้อความ
 1. เรื่องข้อความที่ต้องการย้าย
 2. วางเมาส์บนพื้นที่ที่เลือกข้อความ
 3.เลือกเมาส์เพื่อนำ เคอร์เซอร์r แปลว่าเอาข้อความห ณ ตำแหน่งที่ต้องการ 
 4. การเลือกข้อความไปยังบรรทัดถัดไป
           (1) การวางเคอร์เซอร์หน้าข้อความหรือหน้าบรรทัดที่ต้องการ
           (2) กดปุ่ม enter
 5. การเลื่อนไปยังหน้าถัดไป
           (1) วางเคอร์เซอร์หลังข้อความสุดท้ายของบรรทัดในหน้าเอกสาร
     (2) กดปุ่ม ctrl enter พร้อมกัน


 4.4.7 การแก้ไขข้อความ
  1.1 การลบข้อความ
   (1) วางเคอร์เซอร์หน้าข้อความที่ต้องการลบแล้วกดปุ่ม delete หรือ
         (2)  วางเคอร์เซอร์หลังข้อความที่ต้องการลบแล้วกดปุ่ม blackspace

4.5 การจัดรูปแบบตัวอักษร

     การกำหนดตำแหน่งข้อความสามารถจัดวางข้อความในเอกสารว่าจะให้ชิดด้านใดในเอกสารก็ได้ ซึ่งการจัดข้อความจะมีผล ต่อข้อความในย่อหน้านั้น

           วิธีกำหนดการจัดวางตำแหน่งข้อความในเอกสารทำได้ดังนี้
1. คลิกที่ใดๆ ในเอกสารที่ต้องการจัดวางตำแหน่งข้อความ
2. คลิกปุ่มเครื่องมือ เพื่อเลือกรูปแบบการจัดวางข้อความ

ถ้าต้องการวางข้อความในเอกสารให้ ชิดซ้ายให้คลิกสัญรูป 
ถ้าต้องการข้อความในเอกสารให้อยู่ ตรงกลาง ให้คลิกสัญรูป 
ถ้าต้องการข้อความในเอกสารให้ ชิดขวา ให้คลิกสัญรูป 
ถ้าต้องการข้อความในเอกสารให้เต็มบรรทัดใหคลิกสัญรูป  
ถ้าต้องการจัดวางข้อความให้ชิดขอบซ้ายและขวา โดยการแยกช่องไฟระหว่างตัวอักษรแต่ละตัวเท่าๆ กัน (มีใช้เฉพาะภาษาไทยเท่านั้น) ใหคลิกสัญรูป 



4.6 การจัดเอกสารเป็นคอลัมน์

 การแบ่งเอกสารเป็นหลายสดมภ์วิธีที่ง่ายที่สุดคือ ควรกำหนดคอลัมน์เสียก่อนที่เราจะพิมพ์ข้อมูลลงไป มีวิธีการดังนี้ หรือทำตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิกเมาส์ เลือกคำสั่ง รูปแบบ
2. คลิกเมาส์ เลือกคำสั่ง สดมภ์ จะปรากฎเครื่องมือแสดงการแบ่งจำนวน สดมภ์
3. คลิกเมาส์ เลือกจำนวน สดมภ์ ที่ต้องการ
4. เอกสารจะถูกแบ่งเป็นหลาย สดมภ์ ตามที่ได้เลือกไว้

      การแบ่งเอกสารเป็นหลาย สดมภ์ นั้นจะมีผลทั้งเอกสาร แต่ถ้าต้องการแบ่งให้เป็นหลาย สดมภ์ในเอกสารบางส่วนก็ สามารถ  ทำได้โดยการกำหนด การนำไปใช้ (5) ทำให้เอกสารถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ ซึ่งการแบ่งเอกสารเป็นหลาย สดมภ์นั้นจะมี ผลเฉพาะพื้นที่ ที่เลือกไว้เท่านั้น


4.7 การแทรกรูปภาพและอักษรศิลป์

     อักษรศิลป์เป็นวิธีที่รวดเร็วในการทำให้ข้อความโดดเด่นโดยใช้เอฟเฟกต์พิเศษ คุณเลือกสไตล์อักษรศิลป์จากแกลเลอรีอักษรศิลป์โดยเรียกใช้จากแท็บ แทรก ซึ่งคุณสามารถกำหนดค่าเองได้



ตัวอย่างอักษรศิลป์พร้อมคำว่า Happy Birthday และรูปภาพ


1.คลิก แทรก > อักษรศิลป์ แล้วเลือกสไตล์อักษรศิลป์ที่คุณต้องการ




การเลือกตัวเลือกอักษรศิลป์


ในแกลเลอรีอักษรศิลป์ ตัวอักษร A แสดงแทนรูปแบบต่างๆที่ใช้กับข้อความทั้งหมดที่คุณพิมพ์

หมายเหตุ: ไอคอนอักษรศิลป์จะอยู่ในกลุ่ม ข้อความ และอาจจะปรากฏขึ้นแตกต่างกันไปตามโปรแกรมที่คุณกำลังใช้อยู่และขนาดหน้าจอของคุณ ค้นหาหนี่งในไอคอนเหล่านี้:




2. ตัวแทนข้อความ "ข้อความของคุณอยู่ที่นี่" จะปรากฏขึ้น โดยเป็นข้อความที่เน้นไว้



ข้อความตัวยึดอักษรศิลป์

ใส่ข้อความของคุณเองแทนที่ตัวแทนข้อความ




อักษรศิลป์พร้อมข้อความแบบกำหนดเอง


เคล็ดลับ: คุณสามารถป้อนได้ทั้งประโยค และแม้แต่ย่อหน้าให้เป็นอักษรศิลป์ (คุณอาจจะต้องเปลี่ยนขนาดฟอนต์สำหรับข้อความที่ยาวกว่า) และใน Word คุณสามารถแปลงข้อความที่มีอยู่เป็นอักษรศิลป์ใน Word

       คุณสามารถรวมสัญลักษณ์เป็นข้อความอักษรศิลป์ได้ คลิกตำแหน่งที่ตั้งสำหรับสัญลักษณ์ และบนแท็บ แทรก ให้คลิก สัญลักษณ์ และเลือกสัญลักษณ์ที่คุณต้องการ

กำหนดอักษรศิลป์ด้วยตัวเอง

           คุณอาจจะลองใช้สไตล์รูปร่างเพื่อเปลี่ยนรูปร่างของอักษรศิลป์ และรู้สึกสับสนกับข้อความที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ใช้ตัวเลือกข้อความในกลุ่ม สไตล์ของอักษรศิลป์ แทน สไตล์รูปร่างและเอฟเฟ็กต์จะมีผลกับกล่องและพื้นหลังรอบๆ อักษรศิลป์ของคุณ ไม่ใช่ข้อความอักษรศิลป์ ดังนั้น เมื่อต้องการเพิ่มอักษรศิลป์ของคุณ เช่น เงา การหมุน เส้นโค้ง และสีเติมและสีเค้าร่าง คุณใช้ตัวเลือกในกลุ่ม อักษรศิลป์ ประกอบด้วย สีเติมข้อความ, เค้าร่างข้อความ และ เอฟเฟ็กต์ข้อความ


กลุ่มสไตล์อักษรศิลป์

หมายเหตุ: คุณอาจจะเห็นเฉพาะไอคอนสำหรับสไตล์อักษรศิลป์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดหน้าจอของคุณ



เปลี่ยนสีเติมและสีเค้าร่างของข้อความอักษรศิลป์

1.เลือกข้อความอักษรศิลป์หรือตัวอักษรที่ต้องการเปลี่ยน
แท็บ รูปแบบเครื่องมือการวาด จะปรากฏขึ้น
2.บนแท็บ รูปแบบเครื่องมือการวาด คลิก สีเติมข้อความ หรือ สีเค้าร่าง และเลือกสีที่คุณต้องการ

การเลือกสีเติมข้อความ

3.คลิกด้านนอกกล่องข้อความของคุณเพื่อดูเอฟเฟ็กต์

มีการใช้สีเติมข้อความสีน้ำเงินอ่อนและสีเค้าร่างสีแดงในตัวอย่างนี้




สร้างอักษรศิลป์เส้นโค้งหรือแบบวงกลม และเพิ่มเอฟเฟ็กต์ข้อความอื่นๆ

1.เลือกข้อความอักษรศิลป์หรือตัวอักษรที่ต้องการเปลี่ยน
แท็บ รูปแบบเครื่องมือการวาด จะปรากฏขึ้น
2.เมื่อต้องการสร้างเอฟเฟ็กต์เส้นโค้ง บนแท็บ รูปแบบเครื่องมือการวาด คลิก เอฟเฟ็กต์ข้อความ >การแปลง และเลือกหนึ่งตัวเลือกที่คุณต้องการ

สิ่งสำคัญ: เมนู ข้อความเอฟเฟ็กต์ ปุ่มเมนูข้อความเอฟเฟ็กต์ ไม่เหมือนกับเมนู เอฟเฟ็กต์รูปร่าง ปุ่มเมนูรูปร่างเอฟเฟ็กต์รูปร่าง ถ้าคุณไม่เห็น แปลง ที่ด้านล่างของเมนู โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณคลิกเมนู ข้อความเอฟเฟ็กต์

มีการเลือกใช้เอฟเฟ็กต์การแปลงเส้นโค้งแรกในตัวอย่างนี้





3.คลิกด้านนอกกล่องข้อความของคุณเพื่อดูเอฟเฟ็กต์

        ใช้เมนู เอฟเฟ็กต์ข้อความ เพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์อื่นๆ เช่น เงา การทำรีเฟลกชัน เรืองแสง ยกนูน และการหมุนสามมิติ ตัวอย่างนี้จะแสดงอักษรศิลป์ที่มีเอกเฟ็กต์การแปลงเส้นโค้งและใช้เงา




อักษรศิลป์ที่ใช้เอฟเฟ็กต์การแปลงแบบเส้นโค้งและเงา


หมุนหรือพลิกข้อความอักษรศิลป์
  • เมื่อต้องการหมุนข้อความอักษรศิลป์ไปที่มุมใดๆ ให้เลือกมุมที่ต้องการ และจากนั้นลากตัวจัดการหมุนแบบวงกลมที่ด้านบนของกล่อง




การหมุนอักษรศิลป์ด้วยตัวจัดการหมุน



  • เมื่อต้องการพลิกอักษรศิลป์หรือหมุนเป็น 90 องศา ให้คลิกแท็บ รูปแบบเครื่องมือการวาด คลิก หมุน ในกลุ่ม จัดเรียง จากนั้นเลือกตัวเลือก



ตัวเลือกเมนูหมุน



เปลี่ยนฟอนต์ของข้อความอักษรศิลป์
เมื่อต้องการเปลี่ยนขนาดฟอนต์หรือสไตล์ข้อความอักษรศิลป์ของคุณ

1.เลือกข้อความอักษรศิลป์หรือตัวอักษรที่ต้องการเปลี่ยน
2.บนแท็บ หน้าแรก ให้เปลี่ยนตัวเลือกในกลุ่ม ฟอนต์ เช่น สไตล์ฟอนต์ ขนาดฟอนต์ หรือขีดเส้นใต้


แปลงข้อความที่มีอยู่เป็นอักษรศิลป์ใน Word

1.ในเอกสาร Word ของคุณ ให้เลือกข้อความเพื่อแปลงเป็นอักษรศิลป์
2.บนแท็บ แทรก ให้คลิก อักษรศิลป์ แล้วเลือกอักษรศิลป์ที่คุณต้องการ






4.8 การจัดการตารางบนเอกสาร

เมื่อต้องการแทรกตารางพื้นฐานอย่างรวดเร็ว ให้คลิก แทรก > ตาราง แล้วย้ายเคอร์เซอร์ไปไว้เหนือเส้นตารางจนกว่าคุณจะเน้นจำนวนของคอลัมน์และแถวตามที่คุณต้องการ




แทรกเส้นตาราง

คลิกและตารางปรากฏในเอกสาร ถ้าคุณจำเป็นต้องทำการปรับปรุง คุณสามารถเพิ่มแถวของตารางและคอลัมน์ลบแถวของตารางและคอลัมน์หรือผสานเซลล์ตารางเป็นเซลล์เดียว

เมื่อคุณคลิกในตาราง เครื่องมือตาราง จะปรากฏขึ้น




แท็บเครื่องมือตาราง

        ใช้เครื่องมือตาราง เพื่อเลือกสีที่แตกต่างกัน สไตล์ตารางเพิ่มเส้นขอบตารางหรือเอาเส้นขอบออกจากตาราง คุณสามารถลองใช้คู่แทรกสูตรเพื่อแสดงผลรวมสำหรับคอลัมน์หรือแถวของตัวเลขในตาราง
        ถ้าคุณมีข้อความในเอกสารของคุณที่จะดูดียิ่งขึ้นเป็นตาราง Word สามารถแปลงข้อความลงในตาราง

แทรกตารางขนาดใหญ่หรือตารางที่ มีความกว้างแบบกำหนดเอง

หมายเหตุ: นำไปใช้กับเวอร์ชันบนเดสก์ท็อปของ Word เท่านั้น นำไปใช้กับ Word Online ไม่ได้

สำหรับตารางขนาดใหญ่และสำหรับการควบคุมคอลัมน์เพิ่มเติม ให้ใช้คำสั่ง แทรกตาราง


แทรกตาราง

ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถสร้างตารางที่มีมากกว่า 10 คอลัมน์และ 8 แถว รวมถึงตั้งค่าลักษณะการทำงานของความกว้างของคอลัมน์ได้ด้วย

1.คลิก แทรก > ตาราง > แทรกตาราง
2.กำหนดจำนวนคอลัมน์และแถว




กล่องโต้ตอบ แทรกตาราง ทำให้คุณควบคุมลักษณะตารางของคุณได้มากขึ้น

3.ในส่วน ลักษณะการทำงานแบบปรับพอดีอัตโนมัติ คุณมีสามตัวเลือกในการตั้งค่าความกว้างของคอลัมน์ของคุณ ดังนี้
  • ความกว้างคอลัมน์คงที่ คุณสามารถกำหนดให้ Word ตั้งค่าความกว้างของคอลัมน์โดยอัตโนมัติด้วย อัตโนมัติ หรือคุณสามารถตั้งค่าความกว้างเฉพาะสำหรับคอลัมน์ทั้งหมดของคุณก็ได้
  • ปรับพอดีอัตโนมัติกับเนื้อหา จะสร้างคอลัมน์ที่แคบมากที่จะขยายออกไปได้เมื่อคุณเพิ่มเนื้อหา
  • ปรับพอดีอัตโนมัติกับหน้าต่าง จะเปลี่ยนความกว้างของตารางทั้งหมดโดยอัตโนมัติเพื่อให้เข้ากับขนาดของเอกสารของคุณ

4.ถ้าคุณต้องการให้ตารางแต่ละตารางที่คุณสร้างมีลักษณะเหมือนกับตารางที่คุณกำลังสร้างอยู่ ให้ทำเครื่องหมายที่ จำขนาดสำหรับตารางใหม่

ดีไซน์ตารางของคุณเอง โดยการวาด

หมายเหตุ: นำไปใช้กับเวอร์ชันบนเดสก์ท็อปของ Word เท่านั้น นำไปใช้กับ Word Online ไม่ได้

ถ้าคุณต้องการการควบคุมรูปร่างของคอลัมน์และแถวของตารางของคุณหรืออื่นๆ นอกเหนือจากเส้นตารางพื้นฐาน เครื่องมือ วาดตาราง จะช่วยคุณวาดตารางได้ตามที่คุณต้องการ



https://support.office.com/th-th/article


คุณสามารถวาดเส้นทแยงมุมและเซลล์ภายในเซลล์ได้

1.คลิก แทรก > ตาราง > วาดตาราง ตัวชี้จะเปลี่ยนเป็นดินสอ

2.ให้วาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพื่อเป็นเส้นขอบของตาราง จากนั้น ให้วาดเส้นสำหรับคอลัมน์และแถวภายในสี่เหลี่ยมผืนผ้านั้น


การวาดตาราง

3.เมื่อต้องการลบบรรทัดหนึ่ง:
  • ใน Word 2013 และ Word 2016: คลิกที่แท็บเค้าโครงของเครื่องมือตาราง
  • ใน Word 2007 และ Word 2010: คลิกที่แท็บออกแบบของเครื่องมือตาราง


คลิกยางลบ นั้นแล้ว คลิกบรรทัดที่คุณต้องการลบ


ปุ่มยางลบ

4.ถ้าคุณต้องการแจกจ่ายทั้งหมดของแถวและคอลัมน์เท่ากัน บนแท็บเค้าโครงของเครื่องมือตาราง ในกลุ่มขนาดเซลล์ คลิกกระจายแถว หรือคอลัมน์ที่แจกจ่าย

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หน่วยที่ 3 การสืบคนข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

เนื้อหาสาระ (Content)
   
    การสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่สามารถสืบค้นและศึกษาได้อย่างไร้ขีดจำกัด ผู้ที่มีข้อมูลหรือความรุ้มากมายย่อมเป็นผู้ที่ถือว่ามีความได้เปรียบในทางธุรกิจต่างๆ และส่งผลให้ประสบความสำเร็จได้ในที่สุด


3.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต
   
   3.1.1 ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต

        ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ประเทศรัสเซียส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาจึงได้รับรู้ว่า เทคโนโลยีชั้นสูงของประเทศยังล้าหลังกว่าของรัสเซีย ซึ่งส่งผลให้เกิดการตื่นตัว ที่จะพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง รัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดยกระทรวงกลาโหม จึงก่อตั้งหน่วยงานวิจัยชั้นสูงที่ชื่อว่า Advanced Research Projects Agency หรือที่รู้จักกันในนามของ ARPA 

        ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ARPA ได้ให้ทุนแก่มหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา เพื่อการทำวิจัยในหัวข้อเรื่อง เครือข่ายการทำงานร่วมกันของคอมพิวเตอร์แบบแบ่งเวลา (Cooperative network of Time-Shared Computers) หลังจากนั้นอีก ๓ ปี กระทรวงกลาโหมก็ได้สนับสนุนโครงการวิจัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่ชื่อว่า ARPANET จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ โครงการ ARPANET ได้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย ๔ แห่ง เข้าด้วยกัน 

        ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เครือข่าย ARPANET ขยายใหญ่ขึ้น และสามารถเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ถึง ๒๓ เครื่อง 

        จากการศึกษาเรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จนถึงระยะเวลานั้น ผู้พัฒนาเครือข่ายหลายคน เริ่มเห็นปัญหาของการเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ที่มีหลากหลายชนิด และหลากหลายผลิตภัณฑ์ จึงทำให้เกิดปัญหายุ่งยากในการเชื่อมโยง แนวความคิดที่จะสร้างระบบเปิดจึงเกิดขึ้น กล่าวคือ กำหนดมาตรฐานกลางที่ผลิตภัณฑ์ทุกยี่ห้อสามารถจะเชื่อมโยงเข้าสู่มาตรฐานนี้ได้ 

         แนวคิดในการเชื่อมโยงเครือข่ายเข้าด้วยกัน และเชื่อมโยงในลักษณะวงกว้าง เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ผู้พัฒนาเครือข่ายจึงสร้างโปรโตคอลใหม่ และให้ชื่อว่า TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) และให้ชื่อเครือข่ายที่เชื่อมโยงโดยใช้โปรโตคอลนี้ว่า อินเทอร์เน็ต หลังจากนั้น โครงการ ARPANET ได้นำโปรโตคอล TCP/IP ไปใช้ 

         การพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ดำเนินการต่อมา ถึงแม้ว่าในช่วงหลัง กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกการสนับสนุน และหันกลับไปทำวิจัย และพัฒนาเอง เครือข่ายนี้ก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีการพัฒนามาตรฐานต่างๆ เข้ามาใช้ประกอบร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดได้กลายเป็นมาตรฐานการสื่อสารที่ชื่อว่า TCP/IP และใช้ชื่อเครือข่ายว่า อินเทอร์เน็ต (Internet) 

        ต่อมาการบริหาร และดำเนินงานเครือข่าย ได้รับการสนับสนุน จากมูลนิธิการศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือที่ใช้ชื่อย่อว่า NSF (National Science Foundation) มีการตั้งคณะกรรมการเข้ามาบริหารเครือข่ายกลาง ที่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นเข้ามาเชื่อมโยง และได้ดำเนินการ จนอินเทอร์เน็ตกลายเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก



3.1.2 ความสามารถของอินเตอร์เน็ต

     -การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้หลากหลาย อาทิเช่น 
     -ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล์ (e-Mail) , 
     -สนทนา (Chat), อ่านหรือแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, 
     -การติดตามข่าวสาร, 
     -การสืบค้นข้อมูล / การค้นหาข้อมูล, 
     -การชม หรือซื้อสินค้าออนไลน์ ,
     -การดาวโหลด เกม เพลง ไฟล์ข้อมูล ฯลฯ,
     -การติดตามข้อมูล ภาพยนตร์ รายการบันเทิงต่างๆ ออนไลน์,
     -การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์,
     -การเรียนรู้ออนไลน์ (e-Learning),
     -การประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต (Video Conference),
     -โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP),


         การอับโหลดข้อมูล หรือ อื่นๆแนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้าง ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเช่น  และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก


3.2 เว็บไซต์และโปรแกรมเว็บเบราเซอร์

        เว็บไซต์ (Web Site) คือ แหล่งที่เก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารและสื่อประสมต่าง ๆ เช่น ภาพ เสียง ข้อความ ของแต่ละบริษัทหรือหน่วยงานโดยเรียกเอกสารต่าง ๆ เหล่านี้ว่า เว็บเพจ (Web Page) และเรียกเว็บหน้าแรกของแต่ละเว็บไซต์ว่า โฮมเพจ (Home Page) หรืออาจกล่าวได้ว่า เว็บไซต์ก็คือเว็บเพจอย่างน้อยสองหน้าที่มีลิงก์ (Links) ถึงกัน ตามหลักคำว่า เว็บไซต์จะใช้สำหรับผู้ที่มีคอมพิวเตอร์แบบเซิร์ฟเวอร์หรือจดทะเบียนเป็นของตนเองเรียบร้อยแล้วเช่น www.google.co.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูลเป็นต้น


3.2.1 การเข้าเว็บไซต์
        เริ่มจากรู้จักเวิลไวด์เว็บ (World Wide Web : WWW.) หมายถึง การบริการข้อมูลที่เชื่อมต่อด้วยไฮเปอร์ลิงค์ โดยมีโฮต์ที่ทำหน้าที่บริการข้อมูล ในลักษณะหน้ากระดาษอิเล็กทรอนิกส์ ที่เรียกว่าเว็บเพจ (Web Page) เปรียบเสมือนหน้าหนังสือ ซึ่งสามารถบรรจุข้อความ รูปภาพ และเสียงไว้ด้วย หน้าแรกของเว็บเพจ เรียกว่า โฮมเพจ (Home Pege)
        เมื่อนำเอาเว็บหลายๆหน้ามารวมกันไว้แหล่งเดียวกัน เรียกว่า เว็บไซต์ (Web Site ) เว็บไซต์จะถูกเก็บไว้ ในเว็บเบราเซอร์ (Web Browser) เมื่อต้องการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ใดๆต้องติดต่อผ่านไปยังเว็บเซิร์ฟเวฺอร์นั้นๆ ซึ่งที่อยู่นี้เรียกเป็นภาษาอินเตอร์เน็ตว่า URL (Uniforn Resource locater :URL)
ซึ่งแต่ละURLจะมีชื่อไม่ซ้ำกัน



3.3 วิธีการสืบค้นข้อมูลโดยใช้สารบบเว็บ

        สารบบเว็บส่วนมากมีขอบเขตที่ไม่เฉพาะเจาะจง และแสดงรายการเว็บไซต์ข้ามหมวดหมู่ ภูมิภาค และภาษาอย่างกว้างขวาง แต่ก็มีสารบบเว็บจำนวนมากที่สงวนไว้สำหรับภูมิภาคจำกัด ภาษาเดียว หรือส่วนของผู้ชำนาญเฉพาะทาง เป็นต้น ประเภทหนึ่งในจำนวนนี้ที่มีอยู่จริงเช่น สารบบการเลือกซื้อ (shopping directory) จะรวบรวมเว็บไซต์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

สารบบเว็บแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเช่น Open Directory Project (ODP) ซึ่งมีความสำคัญเนื่องจากการแบ่งหมวดหมู่ที่สามารถขยายเพิ่มเติมไปได้เรื่อยๆ มีรายการเว็บไซต์จำนวนมาก และเป็นเนื้อหาเสรีที่สามารถนำไปใช้โดยเสิร์ชเอนจินและสารบบเว็บอื่นๆ[1]

       อย่างไรก็ตาม ข้อถกเถียงเกี่ยวกับคุณภาพของสารบบและฐานข้อมูลก็ยังคงดำเนินอยู่ ดังเช่นในเสิร์ชเอนจินที่ใช้เนื้อหาของ ODP โดยไม่มีการรวมเข้ากับสิ่งที่เป็นจริง และการทดลองบางอย่างที่ใช้การกระจายข้อมูล (data clustering) มีความพยายามหลายอย่างเรื่อยมาที่จะทำให้การพัฒนาสารบบสามารถทำได้ง่ายขึ้น อาทิการส่งข้อมูลเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องถึงกันโดยอัตโนมัติด้วยสคริปต์หรือโปรแกรม เมื่อไม่นานมานี้ซอฟต์แวร์ทางสังคม (social software) ได้ใช้เทคนิคใหม่โดยการใช้แท็ก (tag) เข้ามาช่วยในการจัดแบ่งหมวดหมู่

        สารบนเว็บมีคุณลักษณะของการแสดงรายการที่แตกต่างกันไป ซึ่งมักขึ้นอยู่กับการจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเพื่อให้ได้คุณลักษณะใหม่ ตัวอย่างเช่น

  • รายการแบบฟรี – คุณลักษณะนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ สำหรับการเรียกดูรายชื่อเว็บไซต์
  • รายการแบบจ่าย – อาจเป็นค่าธรรมเนียมจ่ายครั้งเดียวหรือจ่ายเพื่อต่ออายุ สำหรับการเรียกดูรายชื่อเว็บไซต์
  • ลิงก์เชื่อมโยงกลับ – เป็นลิงก์ที่กลับมายังสารบบเว็บสำหรับเพิ่มลงในเนื้อหาเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์นั้นมีตัวตนอยู่ในสารบบและสามารถเก็บสถิติได้
  • ไม่อนุญาตให้ตามลิงก์ – คุณลักษณะนี้เป็นตัวบ่งบอกเสิร์ชเอนจินว่าไม่ให้วิ่งตามลิงก์ออกไปเว็บไซต์อื่น โดยการใส่คุณสมบัติ rel="nofollow" เป็นต้น
  • รายการผู้สนับสนุน – ลิงก์ของเว็บไซต์จะอยู่ในตำแหน่งพิเศษในหมวดหมู่ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนกว่าตำแหน่งปกติ
  • การประมูลตำแหน่ง – การแสดงรายชื่อในตำแหน่งพิเศษจะต้องประมูลเพื่อให้ได้มา
  • ลิงก์ในเครือ – สารบบเว็บจะเป็นผู้จ่ายค่าคอมมิชชันให้ผู้ที่สามารถดึงลูกค้าเข้ามาสมัครกับเว็บไซต์ที่ลงทะเบียนไว้


3.4 วิธีการสืบค้นข้อมูลโดยใช้เครื่องมือช่วยค้น
เครื่องมือช่วยค้นข้อมูลในอินเทอเน็ต

        เครื่องมือช่วยค้น หรือ เซิร์ชเอ็นจิน (Search Engine)
Search  Engine คือ เว็บไซต์ที่ให้บริการการค้นหาข้อมูล เว็บไซต์ดังกล่าวจะมีโปรแกรมชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นเพื่อช่วยในการ
ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต  การทำงานของSearch Engineนั้นจะเริ่มจากการหาเว็บไซต์ต่างๆในอินเทอร์เน็ตว่ามีเว็บไซต์
์อะไรแล้วสร้างเป็นฐานข้อมูลของเว็บไซต์ต่างๆขึ้นมาเก็บไว้เพื่อใช้ในการค้นหาตามความต้องการของผู้ใช้ ฐานข้อมูล
เหล่านี้จะต้องมีการปรับปรุงบ่อยๆเพราะมีเว็บไซต์เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลานอกจากการสร้างฐานข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์
์์ของตนเองแล้ว  Search  Engine  ยังอาจจะใช้วิธีการค้นหาจากฐานข้อมูลของ Search  Engine ตัวอื่นๆแล้วนำมา
บริการก็ได้  ในการสร้างฐานข้อมูลของ  Search  Engine นั้นจะใช้โปรแกรมที่เรียกว่า  สไปเดอร์ (Spider)หรือโรบอต(Robot)ทำการสำรวจไปยังเว็บไซต์ต่างๆทั่วอินเทอร์เน็ตแล้วนำข้อมูลของเว็บไซต์นั้นมาเก็บไว้ในฐานข้อมูลของตนเองเมื่อผู้ใช้ป้อน
Keyword ของข้อมูลที่ต้องการค้นหาเข้าไป Search  Engine ก็จะนำไปค้นหาในฐานข้อมูลที่มีอยู่  ผลที่ได้จาก การค้นหาก็คือรายการของเว็บไซต์ที่มี Keyword ดังกล่าวอยู่
        SearchEngine แต่ละตัวมีข้อดีในการสืบค้นและวิธีการในการสืบค้นที่แตกต่างกันตลอดจนมีการจัดทำส่วนพิเศษต่างๆในการสืบค้น
เพื่อช่วยผู้ใช้  และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้ควรมีความรู้เกี่ยวกับการค้นหา ดังนี้ คือ
1. วิธีการใช้ Search Engine แต่ละเว็บไซต์Search Engine แต่ละตัวจะมีส่วนช่วยในการอธิบายวิธีใช้ในส่วนที่เรียกว่า Help หรือAbout  เช่น Yahoo 
  
      มีวิธีกำหนดคำค้นเพื่อให้ได้ผลค้นที่เฉพาะเจาะจงหรือตรงต่อความต้องการ ดังนี้

   1.1 ใช้เครื่องหมายดอกจันทร์ (*) เพื่อค้นหาคำที่มีการสกดคล้ายกัน เช่น smok* หมายความว่า ให้ค้นหาคำทั้งหมดที่ขึ้นด้วย 5 ตัวอักษรแรก เช่น smoke smoker เป็นต้น1.2 ใช้เครื่องหมาย + สำหรับกำหนดให้แสดงผลการค้นเฉพาะเว็บไซต์ ที่ปรากฏคำทั้งสองคำ
เช่น Secondary + education1.3 ใช้เครื่องหมาย  “    ”  สำหรับการค้นหาคำที่เป็นวลี เช่น  “great barrier reaf”   ฯลฯ
   
   2.การใช้ตรรกบูลีน  (Boolean Logic)เพื่อให้สามารถกำหนดการค้นหาที่แคบเข้ามา โดยใช้คำ  AND  OR  NOT เข้าช่วยในการกำหนดคำค้นเพื่อให้สามารถค้นหาได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น
การใช้ ANDการกำหนดใช้ AND
จะใช้เมื่อต้องการกำหนดให้ค้นรายการที่ปรากฏคำที่มีความเกี่ยวข้องกัน ในรายการเดียวกัน เช่น water and soilการกำหนดแบบนี้หมายความว่าผลการค้นต้องการคือเฉพาะรายการที่มีคำว่า water และ soil เท่านั้นหากรายการใดที่มีแต่คำว่า  water  หรือ soil ไม่ต้องการการใช้คำว่า ORการใช้ OR เป็นการขยายคำค้นโดยกำหนดคำหลายที่เห็นว่ามีความหามายคล้ายกันหรือสามารถสะกดได้หลายแบบ

การใช้ NOTการใช้ NOT จะใช้ในเมื่อต้องการจำกัดการค้นเข้ามาคือไม่ต้องการรายการที่มีเนื้อหาส่วนที่ไม่ต้องการปรากฏอยู่  โดยกำหนดให้ตัดคำที่ไม่ต้องการออกเช่นwater not soilการกำหนดคำแบบนี้ หมายถึง
1. ให้ค้นหารายการที่มีคำว่า water แต่หากรายการใดมีคำว่า soil อยู่ด้วย ไม่ต้องการ
2. ผลสืบค้นที่ได้ทุกรายการที่มีคำว่า water และหากมีคำว่าSoil ให้คัดออกทุกรายการ



3.5 ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูลทั้งไทยและต่างประเทศ
เว็บไซต์ที่ให้บริการ  Search Engine
    
     Search Engine เป็นเครื่องมือหรือโปรแกรมในการค้นหาเว็บต่างๆ โดยมีการเก็บ รายชื่อเว็บไซต์และข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่างๆ ของเว็บไซต์และนำมาจัดเก็บไว้ใน server เพื่อให้สามารถค้นหาและแสดงผลได้สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ บาง search engine อาจไม่ได้มีการเก็บข้อมูลในserver ของตัวเอง แต่อาจอาศัยข้อมูลจากเจ้าของ server นั้นๆ
     เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้น (Search Engine) มีอยู่มากมายและมีให้บริการอยู่ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่ใช้บริการการสืบค้นข้อมูลโดยเฉพาะ การเลือกใช้นั้นขึ้นกับประเภทของข้อมูล สารสนเทศที่ต้องการสืบค้น Search Engine ต่างๆ จะให้ข้อมูลที่มีความลึกในแง่มุมหรือศาสตร์ต่างๆ
ไม่ เท่ากัน ตัวอย่าง Search Engine ที่นิยมใช้มีทั้งเว็บไซต์ที่เป็นของต่างประเทศ และของไทยเอง
     ตัวอย่าง เว็บไซต์ของไทยและต่างประเทศ ได้แก่ 


website ภาษาไทย

http://www.thaifind.com/
http://www.thaiseek.com/
http://www.thaiall.com/
http://www.thainame.net/main.html
http://www.sanook.com/
http://www.google.com/
http://www.aromdee.com/




รูปที่ 3.2ตัวอย่างเว็บไซต์www.thaiall.com



รูปที่ 3.3ตัวอย่างเว็บไซต์www.siamGuru.com




website ภาษาอังกฤษ
http://www.ixquick.com/
http://www.yahoo.com%20/
http://www.lycos.com/
http://www.netfind2.aol.com/
http://www.excite.com/
http://www.altavista.com/
http://www.freestation.com/

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

รูปที่ 3.4ตัวอย่างเว็บไซต์www.excite.com


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ www.yahoo.com

รูปที่ 3.5ตัวอย่างเว็บไซต์www.yahoo.com



   รูปที่ 3.6ตัวอย่างเว็บไซต์www.altavata.com




รูปที่ 3.7ตัวอย่างเว็บไซต์www.lycos.com




วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

บทที่2 ระบบเครือข่ายและเทคโนโลยีสารสนเทศ

หัวข้อเรื่อง (Topics)
1.ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์         
2.เทคโนโลยีสารสนเทศ
3.บทบาทของระบบสารสนเทศ       
4.ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์
5.ระบบสารสนเทศเพื่อการรจัดการ 
6.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

แนวคิด (Main idea)
ระบบเครือข่าย เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่2เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกัน เพื่อความสะดวกต่อการร่วมใช้ข้อมูล โปรแกรม หรือเครื่องพิมพ์อำนวยความสะดวกต่อการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ตลอดเวลา ระบบเครือข่ายสามารถทำให้คอมพิวเตอร์แบ่งปันข้อมูลกันได้ รับ-ส่งไฟลืได้ มีการสื่อสารด้วยระบบบันทึก โน๊ต ปฏิทิน การนัดหมาย ข้อมูลลูกค้า สต็อกสินค้า ครังข้อมูลความรู้ ข้อมูลทางบัญชีและการบริหาร การสำรองข้อมูล (Data Backup) ไว้ที่คอมพิวเตอร์ส่วนกลาง สามารถพิมเอกสารไปที่คอมพิวเตอร์ส่วนกลางได้ ส่วนระบบสารสนเทศ (Information System) หมายถึงระบบที่ ฮาดแวร์ ข้อมูล และบุคคลทำงานประสารกันอย่างมีระบบ โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติงาน ที่ถูกกำหนดขึ้น เพื่อ ให้มีการรวบรวมประมวลผล จัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระเบียบ แล้วจัดทำเป็นสารสนเทศเพื่อนำไปใช้โดยส่นต่างๆ ขององค์กร เช่น ผู้บริหารระดับสุง ผู้บริหารระดับอื่นๆ ผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกาา พนุกงานหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อวิเคราะห์หรือสรุปผลสารสนเทศนั้น เพื่อประโยชน์ขององค์กรต่อไป


วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives)
1.บอกความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
2.บอกความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศได้
3.บอกบทบาทและความสำคัญของสารสนเทศได้
4.บอกระบบสารสนเทสที่ใช้คอมพิวเตอรืได้
5.บอกระบบสารสนเทสเพื่อการจัดการได้
6.บอกการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้


    


เนื้อหาสาระ (Content)

       การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกับเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกันได้

สิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบข้อมูลมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น คือ การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน และการเชื่อมต่อหรือการสื่อสาร การโอนย้ายข้อมูลหมายถึงการนำข้อมูลมาแบ่งกันใช้งาน หรือการนำข้อมูลไปใช้ประมวลผลในลักษณะแบ่งกันใช้ทรัพยากร เช่น แบ่งกันใช้ซีพียู แบ่งกันใช้ฮาร์ดดิสก์ แบ่งกันใช้โปรแกรม และแบ่งกันใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีราคาแพงหรือไม่สามารถจัดหาให้ทุกคนได้ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่ายจึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กว้างขวางและมากขึ้นจากเดิม

การเชื่อมต่อในความหมายของระบบเครือข่ายท้องถิ่น ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การเชื่อมต่อระหว่างเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แต่ยังรวมไปถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้าง เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้การทำงานเฉพาะมีขอบเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น มีการใช้เครื่องบริการแฟ้มข้อมูลเป็นที่เก็บรวบควมแฟ้มข้อมูลต่างๆ มีการทำฐานข้อมูลกลาง มีหน่วยจัดการระบบสือสารหน่วยบริการใช้เครื่องพิมพ์ หน่วยบริการการใช้ซีดี หน่วยบริการปลายทาง และอุปกรณ์ประกอบสำหรับต่อเข้าในระบบเครือข่ายเพื่อจะทำงานเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ในรูป เป็นตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มเชื่อมโยงเป็นระบบ


100

รูปที่ 2.1 ตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มอุปกรณ์รอบข้างเชื่อมโยงเป็นระบบ

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดความสามารถในการปฎิบัติการร่วมกัน ซึ่งหมายถึงการให้อุปกรณ์ทุกชิ้นที่ต่ออยู่บนเครือข่ายทำงานร่วมกันได้ทั้งหมดในลักษณะที่ประสานรวมกัน โดยผู้ใช้เห็นเสมือนใช้งานในอุปกรณ์เดียวกัน จึงเป็นวิธีการในการนำเอาอุปกรณ์ต่างชนิดจำนวนมาก มารวมกันเป็นเสมือนระบบเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่อุปกรณ์เหล่านั้นอาจจะมาจากต่างยี่ห้อ ต่างบริษัท ก็ได้


2.1ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

2.1.1ความหมายของระบบเครือข่าย 

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึงการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครือข่ายนั้น

 2





รูปแสดงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์



ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (File Server) ช่องทางการสื่อสาร (Communication Chanel) สถานีงาน (Workstation or Terminal) และ อุปกรณ์ในเครือข่าย (Network Operation System)





1.คอมพิวเตอร์แม่ข่าย หมายถึงคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการทรัพยากร (Resources) ต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ หน่วยความจำสำรอง ฐานข้อมูล และ โปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น ในระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) มักเรียกว่าคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ในระบบเครือข่ายระยะไกล ที่ใช้เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ หรือ มินิคอมพิวเตอร์เป็นศูนย์กลางของเครือข่าย เรานิยมเรียกว่า
55
Host Computer และเรียกเครื่องที่รอรับบริการว่าลูกข่ายหรือสถานีงาน
2.ช่องทางการสื่อสาร หมายถึง สื่อกลางหรือเส้นทางที่ใช้เป็นทางผ่าน ในการรับส่งข้อมูล ระหว่างผู้รับ (Receiver) และผู้ส่งข้อมูล (Transmitter) ปัจจุบันมีช่องทางการสื่อสาร สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย คอมพิวเตอร์มีหลายประเภทคือ สายโทรศัพท์แบบสายคู่ตีเกลียวไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP) สายคู่ตีเกลียว แบบมีฉนวนหุ้ม (STP) สายโคแอคเชียล สายใยแก้วนำแสง คลื่นไมโครเวป และดาวเทียม เป็นต้น
31


3. สถานีงาน (Workstation or Terminal) หมายถึง อุปกรณ์หรือเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่อ กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่เป็นสถานีปลายทางหรือสถานีงาน ที่ได้รับการบริการจากเครื่อง คอมพิวเตอร์แม่ข่าย เรียกว่าเป็นคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Workstation) ในระบบเครือข่ายระยะใกล้ มักมีหน่วยประมวลผล หรือซีพียูของตนเอง ในระบบที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม เป็นศูนย์กลาง เรียกสถานีปลายทางว่าเทอร์มินอล (Terminal) ประกอบด้วยจอภาพและแป้นพิมพ์เท่านั้น ไม่มีหน่วยประมวลกลางของตัวเอง ต้องใช้หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางหรือ Host

2.1.2 อุปกรณ์ในเครือข่าย
1.การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface Card :NIC) หมายถึง แผงวงจรสำหรับ ใช้ในการเชื่อมต่อสายสัญญาณของเครือข่าย ติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย และเครื่องที่เป็นลูกข่าย หน้าที่ของการ์ดนี้คือแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ส่งผ่านไปตามสายสัญญาณ ทำให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้

รูปที่2.4 รูปแสดงการ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย


2. โมเด็ม ( Modem : Modulator Demodulator) หมายถึง อุปกรณ์สำหรับการแปลงสัญญาณดิจิตอล (Digital) จากคอมพิวเตอร์ด้านผู้ส่ง เพื่อส่งไปตามสายสัญญาณข้อมูลแบบอนาลอก(Analog) เมื่อถึงคอมพิวเตอร์ด้านผู้รับ โมเด็มก็จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาลอก ให้เป็นดิจิตอลนำเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อทำการประมวลผล โดยปกติจะใช้โมเด็มกับระบบเครือข่ายระยะไกล โดยการใชสายโทรศัพท์เป็นสื่อกลาง เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
การใช้โมเด็ม

รูปที่2.5 รูปแสดงการใช้โมเด็มในการติดต่อเครือข่ายระยะไกล

3. ฮับ ( Hub) คือ อุปกรณ์เชื่อมต่อที่ใช้เป็นจุดรวม และ แยกสายสัญญาณ เพื่อให้เกิดความสะดวก ในการเชื่อมต่อของเครือข่ายแบบดาว (Star) โดยปกติใช้เป็นจุดรวมการเชื่อมต่อสายสัญญาณระหว่าง File Server กับ Workstation ต่าง ๆ
แสดงฮับ


รูปที่2.6แสดงฮับที่ใช้เป็นจุดเชื่อมต่อและจุดแยกของสาย




4. ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ จัดการระบบเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่ออยู่กับเครือข่าย สามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่จัดการด้านการรักษาความปลอดภัย ของระบบเครือข่าย และยังมีหน้าที่ควบคุม การนำโปรแกรมประยุกต์ ด้านการติดต่อสื่อสาร มาทำงานในระบบเครือข่ายอีกด้วย นับว่าซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย มีความสำคัญต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างยิ่ง ตัวอย่าง ซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้แก่ ระบบปฏิบัติการ Windows NT , Linux , Novell Netware , Windows XP ,Windows 2000 , Solaris , Unix เป็นต้น



รูปที่2.7 แสดงซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย




2.1.3 โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (TOPOLOGY) 
จำแนกตามลักษณะของการเชื่อมต่อดังต่อไปนี้
   1. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส (bus topology)
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส จะประกอบด้วย สายส่งข้อมูลหลัก ที่ใช้ส่งข้อมูลภายในเครือข่าย เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง จะเชื่อมต่อเข้ากับสายข้อมูลผ่านจุดเชื่อมต่อ เมื่อมีการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องพร้อมกัน จะมีสัญญาณข้อมูลส่งไปบนสายเคเบิ้ล และมีการแบ่งเวลาการใช้สายเคเบิ้ลแต่ละเครื่อง ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบบัส คือ ใช้สื่อนำข้อมูลน้อย ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบโดยรวม แต่มีข้อเสียคือ การตรวจจุดที่มีปัญหา กระทำได้ค่อนข้างยาก และถ้ามีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากเกินไป จะมีการส่งข้อมูลชนกันมากจนเป็นปัญหา

แบบบัส

   2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (ring topology)
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน มีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่แต่ละการเชื่อมต่อจะมีลักษณะเป็นวงกลม การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายนี้ก็จะเป็นวงกลมด้วยเช่นกัน ทิศทางการส่งข้อมูลจะเป็นทิศทางเดียวกันเสมอ จากเครื่องหนึ่งจนถึงปลายทาง ในกรณีที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งขัดข้อง การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายชนิดนี้จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ข้อดีของโครงสร้าง เครือข่ายแบบวงแหวนคือ ใช้สายเคเบิ้ลน้อย และถ้าตัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เสียออกจากระบบ ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบเครือข่ายนี้ และจะไม่มีการชนกันของข้อมูลที่แต่ละเครื่องส่ง

แบบวงแหวน

        3. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว (star topology)
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว ภายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะต้องมีจุกศูนย์กลางในการควบคุมการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ หรือ ฮับ (hub) การสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ จะสื่อสารผ่านฮับก่อนที่จะส่งข้อมูลไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบดาวมีข้อดี คือ ถ้าต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ก็สามารถทำได้ง่ายและไม่กระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในระบบ ส่วนข้อเสีย คือ ค่าใช้จ่ายในการใช้สายเคเบิ้ลจะค่อนข้างสูง และเมื่อฮับไม่ทำงาน การสื่อสารของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบก็จะหยุดตามไปด้วย


แบบดาว



 (1) เครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
    เครือข่ายแลน หรือเครือข่ายท้องถิ่น เป็นเครือข่ายขนาดเล็ก ใช้กันอยู่ในบริเวณไม่กว้าง ซึ่งเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่ในท้องที่บริเวณเดียวกันเข้าด้วยกัน เช่น ภายในอาคาร หรือภายในองค์การที่มีระยะทางไม่ไกลมากนัก เครือข่ายแลนจัดได้ว่าเป็นเครือข่ายเฉพาะขององค์การ การสร้างเครือข่ายแลนนี้องค์การสามารถดำเนินการทำเองได้ โดยวางสายสัญญาณสื่อสารภายในอาคาร หรือภายในพื้นที่ของตนเอง เครือข่ายแลนมีตั้งแต่เครือข่ายขนาดเล็กที่เชือมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป ภายในห้องเดียวกัน จนถึงเชื่อมโยงระหว่างห้อง หรือองค์การขนาดใหญ่ เช่น มหาวิทยาลัย มีการวางเครือข่ายที่เชื่อมโยงระหว่างอาคารภายในมหาวิทยาลัย เครือข่ายแลนจึงเป็นเครือข่ายที่รับผิดชอบโดยองค์การที่เป็นเจ้าของ
 


รูปที่ 2.11 ระบบเครือข่ายภายใน (LAN)

           ลักษณะสำคัญของเครือข่ายแลนคือ อุปกรณ์ที่ประกอบภายในเครือข่ายสามารถส่งสัญญาณกันด้วยความเร็วสูงมาก โดยทั่วไปมีความเร็วตั้งแต่หลายสิบล้านบิตต่อวินาที การสื่อสารในระยะใกล้จะมีความเร็วในการสื่อสารสูง ทำให้การรับส่งข้อมูลมีความผิดพลาดน้อย และสามารถรับส่งข้อมูลจำนวนมากในเวลาจำกัดได้

(2)เครือข่ายระดับเมือง (MAN)
        เป็นเครือข่ายที่ใช้ภายในเมือง หรือภายในจังหวัด เป็นระบบที่มีขนาดกลางอยู่ระหว่าง เครือข่ายแลน กับ เครือข่าย แวน
             



   (3)เครือข่ายระดับประเทศ (WAN)
           เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ในระยะห่างไกล เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ มีการติดต่อต่อสื่อสารกันในบริเวณกว้าง เช่น เชื่อมโยงระหว่างจังหวัด ระหว่างประเทศ การสร้างเครือข่ายระยะไกลจึงต้องอาศัยระบบบริการข่ายสายสาธารณะ เช่น ใช้สายวงจรเช่าจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หรือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย ใช้วงจรสื่อสารผ่านดาวเทียม ใช้วงจรสื่อสารเฉพาะกิจที่มีให้บริการแบบสาธารณะ เครือข่ายแวนจึงเป็นเครือข่ายที่ใช้กับองค์การที่มีสาขาห่างไกลและต้องการเชื่อมสาขาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เช่น ธนาคาร มีสาขาทั่วประเทศ มีบริการรับฝากและถอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม

 

รูปที่ 2.15 ระบบเครือข่ายพื้นที่กว้างไกล (WAN)

           ในอนาคตอันใกล้นี้ บทบาทของเครือข่ายแวนจะทำให้ทุกบริษัท ทุกองค์การ ทุกหน่วยงานเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของตนเองเข้าสู่เครือข่ายกลาง เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และการทำงานร่วมกันในระบบที่ต้องติดต่อสื่อสารระหว่างกัน



    เทคโนโลยีที่ใช้กับเครือข่ายแวนมีความหลากหลาย มีการเชื่อมโยงระ หว่างประเทศด้วยช่องสัญญาณดาวเทียม เส้นใยแก้วนำแสง คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ สายเคเบิลทั้งที่วางไปตามถนนและวางใต้น้ำ เทคโนโลยีของการเชื่อมโยงได้รับการพัฒนาไปมาก แต่ก็ยังไม่พอเพียงกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

2.16องค์ประกอบของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

 
รูปที่ 2.16องค์ประกอบของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ที่มา : http://www.kty.ac.th



    องค์ประกอบของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หมายถึง ส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้การสื่อสารผ่านระบบเครือข่าย อินเทอร์เน็ต เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายระดับโลก เป็นเครือข่ายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับ คอมพิวเตอร์จำนวนมาก จึงมีรูปแบบการเชื่อมโยงข้อมูลเฉพาะของตนเอง องค์ประกอบของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มี 5 ส่วนดังนี้

1.ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System) หมายถึง ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้างอื่น ๆ เช่น เครื่องพิมพ์ กล้องดิจิทัล และลำโพงเป็นต้น คอมพิวเตอร์จะต้องมีคุณสมบัติพร้อมสำหรับการเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่าย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

1.1 คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) หรือ โฮสต์ (Host) ได้แก่ คอมพิวเตอร์ศูนย์กลางทำหน้าที่ให้บริการข้อมูล และประมวลผลข้อมูลที่รับมาจากคอมพิวเตอร์อื่น ๆ โดยทั่วไปต้องเป็นเครื่องคุณภาพสูง เพื่อรองรับการถ่ายโอนข้อมูล จำนวนมาก


 
ที่มา : www. rongrean.com



1.2 คอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Client) ได้แก่ คอมพิวเตอร์ทั่วไปที่รับ-ส่งข้อมูลมากจากเครื่องแม่ข่าย อาจจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ เครื่องโน๊ตบุ๊ค เครื่องแลปท็อป ฯลฯ ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วไป ก็จัดเป็นเครื่องลูกข่ายทั้งสิ้น


 
ที่มา : www.comforts-com.blogspot.com



2. ตัวกลางและอุปกรณ์การสื่อสาร (Communication Device) หมายถึงอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อระหว่าง คอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือส่วนกลางกับคอมพิวเตอร์ลูกข่าย เป็นช่องทางสำหรับการรับ-ส่งข้อมูล ประกอบด้วย

2.1 โมเด็ม (Modem) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนรูปแบบสัญญาณข้อมูลระหว่างอะนาล็อกและดิจิทัล ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลของโมเด็มมีหน่วยเป็นบิตต่อนาที (bps) โมเด็มที่มีอัตราความเร็วบิตต่อนาทีสูง เช่น 512 mbps จะรับ-ส่งข้อมูลได้ดีกว่าโมเด็มขนาด 128 mbps


 
ที่มา : http://202.28.94.55



2.2 สายโทรศัพท์ (Telephone) หมายถึง ระบบโทรศัพท์ทั่วไปซึ่งสามารถนำเอาสายสัญญาณเสียบเข้ากับช่องสำหรับเสียบสายเชื่อมต่อของคอมพิวเตอร์


 
ที่มา : www.worldfour.com



2.3 สายใยแก้วนำแสง (Optical Fiber) เป็นสายสัญญาณอีกชนิดหนึ่งที่ทำจากเส้นใยพิเศษที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ดีกว่าสายโทรศัพท์ทั่วไป


 
ที่มา :www. accessorythai.com



2.4 คลื่นวิทยุและดาวเทียม (Microwave and Satellite) เป็นระบบการสื่อสารโดยใช้คลื่นวิทยุและคลื่นไมโครเวฟรับ-ส่งสัญญาณแบบไร้สายจากดาวเทียม


 
ที่มา : www.thaigoodview.com



3. มาตรฐานการควบคุมและการส่งผ่านข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Control/Internet Protocal) หมายถึง    มาตรฐานที่ใช้ควบคุมและกำหนดเงื่อนไขในการรับ-ส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้แก่

3.1 มาตรฐานทีซีพี/ไอพี (TCP/IP : Transmission Control Protocal/Internet Protocal) เป็นโพรโตคอลมาตรฐานสำหรับรับ-ส่งข้อมูลของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

3.2 มาตรฐานเฮชทีทีพี (HTTP : Hypertext transfer protocol) เป็นมาตรฐานสำหรับการสืบค้นข้อมูลชนิดไฮเปอร์เท็กซ์ (HTML) กำหนดและควบคุมวิธีการสื่อสาร ผ่านโปรแกรมสำหรับติดต่ออินเทอร์เน็ต หรือเบราว์เซอร์ (Browser) กับเครื่องแม่ข่ายหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server)

3.2 มาตรฐานเอฟทีพี (FTP : File Transfer Protocal ) เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการควบคุมและกำหนดวิธีการ โอนย้ายแฟ้มข้อมูล

4. โปรแกรมสำหรับติดต่ออินเทอร์เน็ต (Internet Browser Program) ได้แก่โปรแกรมที่ใช้อ่านข้อมูลไฮเปอร์เท็กซ์ตามมาตรฐานเฮชทีเอ็มแอล (HTML) หรือเรียกว่าเบราว์เซอร์ เช่น Internet Explorer , Mozilla Firfox , Netscape Navigator และ Operaเป็นต้น เบราว์เซอร์ทำหน้าที่อ่านข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เสมือนอ่านหนังสือทีละหน้า สามารถแสดงผลได้ทั้งข้อความ ภาพ เสียง และอื่น ๆ


5. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือไอเอสพี (ISP : Internet Service Provider) หมายถึงหน่วยงาน หรือ องค์กร ผู้ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่บุคคลทั่วไป โดยผู้ให้บริการแต่ละรายจะเป็นสมาชิกของเครือข่าย ระดับประเทศนั้น ๆ แล้วเชื่อมโยงไปยังประเทศต่าง ๆ  สำหรับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายสำคัญหรือรายใหญ่ที่สุด ของไทย คือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย หรือ กสท.



2.1.7 องค์ประกอบที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต

        1. เมนบอร์ด (Mainboard) เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควรมีประสิทธิภาพสูงพอสมควรในปัจจุบันคอมพิวเตอร์โดยทั่วไป จะมีซีพียูรุ่น Celeron, Pentium IV และ AMDซึ่งซีพียูเหล่านี้จะสนับสนุนการใช้งานเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และซีพียูเหล่านี้จะรับรองการใช้งานระบบ มัลติมีเดียด้วย ไม่ว่าจะเป็นการ์ดจอ การ์ดเสียง และลำโพง เพราะการท่องเว็บนั้นจะมีทั้งภาพเคลื่อนไหว และเสียง จึงจำเป็นต้องมีระบบรองรับการใช้งาน เพื่อให้สามารถท่องเว็บได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้น่าสนใจมากขึ้น
        2. หน่วยความจำแรม (RAM) การเลือกหน่วยความจำแรมจะขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ใช้ แต่อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 64-128 MB แต่ในปัจจุบันระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้คือ Windows XP หน่วยความจำแรมไม่ควรต่ำกว่า 256 MB เพราะโปรแกรมที่ใช้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตจะต้องใช้หน่วยความจำมากพอสมควร
        3. จอภาพและการ์ดแสดงผล จอภาพสามารถแสดงผลได้ตั้งแต่ 256 สีขึ้นไป ความละเอียดไม่ควรต่ำกว่า 800x600 pixels ซึ่งปัจจุบันจอภาพจะสามารถแสดงได้ถึง 16 ล้านสีแล้ว ทำให้สามารถแสดงภาพได้ดีโดยเฉพาะภาพถ่าย
        4. ระบบมัลติมีเดีย คือการ์ดเสียงพร้อม

ลำโพง หรือถ้าใช้โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตก็จะต้องมีไมโครโฟนด้วย และถ้าต้องการพูดคุยแบบให้เห็นหน้าทั้งสองฝ่ายก็ต้องมีกล้องวิดีโอที่มีความละเอียดต่ำ หรือที่เรียกว่า“เว็บแคม” (Webcam) ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกรุ่นจะมีให้เฉพาะการ์ดเสียง และลำโพงเท่านั้น อุปกรณ์เสริมอื่นๆ คือ ไมโครโฟน และกล้องเว็บแคม ผู้ใช้จะต้องหาเพิ่มเติมเองเมื่อต้องการใช้งาน

2.2 เทคโนโลยีสารสนเทศ
       เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง วิธีการปฏิบัติ ที่มีการจัดลำดับอย่างมีรูปแบบและขั้นตอน เพื่อที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพ ในเรื่องของความรวดเร็ว ความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง เป็นต้น
      สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลดิบ ที่ได้ผ่านการประมวลผล จากคอมพิวเตอร์มา
แล้ว นั่นคือได้ผ่านการคำนวณ การจัดเรียง การเปรียบเทียบ เป็นต้น ผลลัพธ์ที่ได้สามารถนำไปใช้  ประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้ 
     เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงหมายถึง วิธีการปฏิบัติที่มีการจัดลำดับอย่างมีรูปแบบและขั้นตอน เพื่อที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพ ในเรื่องของความรวดเร็ว ความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีการนำคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสำหรับการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม มาทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสารสนเทศ โดยนำข้อมูลป้อนเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วทำการประมวลผลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ


2.3 บทบาทของระบบสารสนเทศ
       ระบบสารสนเทศ ( Information System : IS ) คือระบบเฉพาะเจาะจงชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นกลุ่มของส่วนประกอบพื้นฐานต่าง ๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกันในการจัดเก็บ จัดการประมวลผล และเผยแพร่แสดงผลข้อมูลสารสนเทศ และสนับสนุนกลไกลของผลสะท้อนกลับ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ โดยทั่วไประบบสารสนเทศ ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก ๆ 3 ส่วนด้วยกันคือ

 2.3.1ส่วนที่นำเข้า (Inputs) ได้แก่การรวบรวมและการจัดเตรียมข้อมูลดิบ ส่วนที่นำเข้านี้ สามารถมีได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น การโทรเข้าเพื่อขอข้อมูล ในระบบสอบถามเบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลที่ลูกค้ากรอกในแบบสอบถาม การให้บริการของร้านค้าฯลฯ ขึ้นอยู่กับส่วนแสดงผลที่ต้องการ ส่วนที่นำเข้านี้ อาจเป็นขบวนการที่ทำด้วยตัวเอง หรือเป็นแบบอัตโนมัติก็ได้ เช่นการอ่านข้อมูลรายชื่อสินค้า โดยใช้เครื่องอ่าน บาร์โค้ดของห้างสรรพสินค้า จัดเป็นส่วนที่นำเข้าแบบอัตโนมัติ

 2.3.2 การประมวลผล ( Processing ) เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงข้อมูล ให้อยู่ในรูปของ ส่วนแสดงผลที่มีประโยชน์ ตัวอย่างของการประมวลผลได้แก่ การคำนวณ การเปรียบเทียบ การเลือกทางเลือก ในการปฏิบัติงานและการเก็บข้อมูล ไว้ใช้ในอนาคต โดยการประมวลผล สามารถทำได้ด้วยตนเอง หรือสามารถใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยก็ได้ ตัวอย่างเช่นระบบคิดเงินเดือนพนักงาน สามารถคิดได้จากการนำจำนวน ชั่วโมงการทำงานของพนักงาน คูณเข้ากับ อัตราค่าจ้าง เพื่อให้ได้ยอดเงินที่ต้องจ่าย ถ้าชั่วโมงการทำงานรายสัปดาห์มากกว่า 40 ชั่วโมง อาจมีการคิดเงินล่วงเวลาให้ โดยเพิ่มเข้าไป กับเงินที่ต้องจ่าย จะทำให้ได้เงินสุทธิ ที่ต้องจ่ายให้กับพนักงาน เป็นต้น

 2.3.3 ส่วนที่แสดงผล ( Outputs ) เกี่ยวข้องกับการผลิตสารสนเทศ ที่มีประโยชน์มักจะอยู่ในรูปของเอกสาร หรือรายงานหรืออาจจะเป็นเช็ค ที่จ่ายให้กับพนักงาน รายงานที่นำเสนอผู้บริหาร และสารสนเทศ ที่ถูกผลิตออกมาให้กับผู้ถือหุ้นธนาคาร หรือกลุ่มอื่นๆ โดยส่วนแสดงผลของระบบหนึ่ง อาจใช้เป็นส่วนที่นำเข้าเพื่อควบคุมระบบ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ก็ได้ เช่นในขบวนการผลิตเฟอร์นิเจอร์ พนักงานขาย ลูกค้า และนักออกแบบเฟอร์นิเจอร ์อาจจะทำการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า โดยอาจจะใช้ซอฟต์แวร์ หรือฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ เข้ามาช่วยในการออกแบบนี้ด้วย จนกระทั่งได้ต้นแบบที่ตรงตามความต้องการมากที่สุด จึงส่งแบบนั้นไปทำการผลิต เป็นต้น


2.4ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์
              ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์ (Software) ข้อมูล(Data) บุคคล (People) ขบวนการ (Procedure) และการสื่อสารข้อมูล (Telecommunication) ซึ่งถูกกำหนดขึ้นเพื่อทำการรวบรวม จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ






 2.4.1 ฮาร์ดแวร์ คืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ที่ใช้ในการรวบรวม การนำเข้า การจัดเก็บ การประมวลผล ข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ และแสดงสารสนเทศที่เป็นผลลัพธ์ออกมา
 2.4.2 ซอฟต์แวร์ คือโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ และใช้ในการประมวลผลข้อมูลเป็นสารสนเทศตามที่ต้องการ
 2.4.3 ข้อมูล หมายถึง ข้อมูลและสารสนเทศที่ถูกเก็บอยู่ในฐานข้อมูล โดยฐานข้อมูล หมายถึงกลุ่มของค่าความจริงและสารสนเทศที่มีความเกี่ยวข้องกันนั่นเอง
 2.4.4 บุคคล หมายถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานและปฏิบัติงานร่วมกับระบบสารสนเทศ
 2.4.5 ขบวนการ หมายถึงกลุ่มของคำสั่งหรือกฎที่แนะนำวิธีการปฏิบัติงาน กับคอมพิวเตอร์ในระบบสารสนเทศ ซึ่งอาจได้แก่การแนะนำการควบคุมการเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์ วิธีการสำรองข้อมูลสารสนเทศในระบบและวิธีจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
 2.4.6 การสื่อสารข้อมูล หมายถึง การส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์เพื่อติดต่อสื่อสาร และช่วยให้องค์กรสามารถเชื่อมระบบคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครือข่าย (Network) ที่มีประสิทธิภาพได้


2.6.2ประยุกต์ใช้ในงานทะเบียนของสถานศึกษา
                - งานรับมอบตัว ทำหน้าที่ตรวจสอบหลักฐานที่นักศึกษานำมารายงานตัว จากนั้นก็จัดเก็บประวัติภูมิหลังนักศึกษา เช่น ภูมิลำเนา บิดามารดา ประวัติการศึกษา ทุนการศึกษา ไว้ในแฟ้มเอกสารข้อมูลประวัตินักศึกษา
               - งานทะเบียนเรียนรายวิชา ทำหน้าที่จัดรายวิชาที่ต้องเรียนให้กั บนักศึกษา ในแต่ละภาคเรียนทุกชั้นปี ตามแผนการเรียนของแต่ละแผนก แล้วจัดเก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลผลการเรียน
               - งานประมวลผลการเรียน ทำหน้าที่นำผลการเรียนจากอาจารย์ผู้สอนมาประมวลในแต่ละภาคเรียน จากนั้นก็จัดเก็บไว้ในแฟ้มเอกสารข้อมูลผลการเรียน และแจ้งผลการเรียนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
               - งานตรวจสอบผู้จบการศึกษา ทำหน้าที่ตรวจสอบรายวิชา และผลการเรียน ที่นักศึกษาเรียนตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งจบหลักสูตร จากแฟ้มเอกสาร ข้อมูลผลการเรียน ว่าผ่านเกณฑ์การจบหรือไม่
               - งานส่งนักศึกษาฝึกงาน ทำหน้าที่หาข้อมูลจากสถานที่ฝึกงาน ในแต่ละแห่งว่าสามารถรองรับจำนวน นักศึกษาที่จะฝึกงานในรายวิชาต่าง ๆ ได้เป็นจำนวนเท่าใด จากนั้นก็จัดนักศึกษา ออกฝึกงานตามรายวิชา ให้สอดคล้องกับจำนวนที่สถานประกอบการต้องการ

2.6.3ประยุกต์ใช้ในห้างสรรพสินค้าและสาขาย่อย
             เนื่องจากห้างสรรพสินค้า เป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ มีอยู่หลายสาขาที่จัดจำหน่ายอยู่ทั่วประเทศ มีซัพพลายเออร์กว่าพันราย และมีพนักงานอยู่หลายพันคน ดังนั้นข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และการตัดสินใจต้องทำอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ ดังนั้นการที่ต้องใช้เทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องอ่านบาร์โค้ดจึงมีความจำเป็นฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศจะเป็นฝ่ายสนับสนุน สิ่งสำคัญที่สุดคือ  เราต้องให้ความมั่นใจได้ว่า ระบบจะต้องทำงานได้ไม่มีปัญหาขัดข้อง ปัจจุบันระบบการเชื่อมต่อห้างสรรพสินค้าจะเป็นแบบสอง ลักษณะคือในต่างจังหวัดจะใช้การเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม ในกรุงเทพจะใช้การเชื่อมต่อแบบออนไลน์ ซึ่งจะมีการรับส่งข้อมูลกันทุกวัน ในส่วนของไอที นอกจากจะต้องทำให้ระบบ สามารถทำงานได้ตลอดเวลาแล้ว ยังต้องมั่นใจด้วยว่าข้อมูลที่รับส่งกันนั้นมีความถูกต้อง ซึ่งในแต่ละวันมีข้อมูลมาก ที่จะต้องผ่านการประมวลผลให้แก่ผู้บริหารเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลยอดขายข้อมูลสต็อกและข้อมูลต่างๆ ที่ ผู้บริหารต้องการ

2.6.4ประยุกต์ใช้ในงานสาธารณสุขและการแพทย์
              เทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการนำมาใช้ในการพัฒนา ด้านสาธารณสุขอย่างกว้างขวาง และทำให้งานด้าน สาธารณสุขเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ปรับระบบการบริหารงาน และนำเทคโนโลยี สารสนเทศมาใช้ในงานต่างๆ ดังนี้ 
               - ด้านการลงทะเบียนผู้ป่วย ตั้งแต่เริ่มทำบัตร จ่ายยา เก็บเงิน
               - การสนับสนุนการรักษาพยาบาล โดยการเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาล ต่างๆ เข้าด้วยกัน สามารถสร้างเครือข่ายข้อมูลทางการแพทย์ แลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้ป่วย
               - สามารถให้คำปรึกษาทางไกล โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชำนาญ เทคโนโลยีสารสนเทศ จะช่วยให้แพทย์สามารถเห็นหน้า หรือท่าทางของผู้ป่วยได้ ช่วยให้ส่งข้อมูลที่เป็นเอกสาร หรือภาพเพื่อประกอบการพิจารณาของแพทย์ได้
               - เทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยในการ ให้ความรู้แก่ประชาชนของแพทย์ หรือหน่วยงานสาธารณสุขต่างๆ เป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว ได้ผลขึ้น โดยสามารถใช้สื่อต่างๆ เช่นภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวมีเสียงและอื่นๆ เป็นต้น
               - เทคโนโลยีสารสนเทศ ช่วยให้ผู้บริหารสามารถกำหนดนโยบาย และติดตามกำกับการดำเนินงานตามนโยบายได้ดียิ่งขึ้น โดยอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องฉับไว และข้อมูลที่จำป็น ทั้งนี้อาจใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวเก็บข้อมูลต่างๆ ทำให้การบริหารเป็นไปได้ด้วยความรวดเร็ว ถูกต้องมากยิ่งขึ้น
               - ในด้านการให้ความรู้หรือการเรียน การสอนทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะดาวเทียม จะช่วยให้การเรียนการสอนทางไกล ทางด้านการแพทย์และสาธารณะสุข เป็นไปได้มากขึ้นประชาชนสามารถเรียนรู้พร้อมกันได้ทั่วประเทศและ ยังสามารถโต้ตอบหรือถามคำถามได้ด้วย

2.6.5ประยุกต์ใช้ในงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
             กลุ่มนักวิทยาสตร์ วิศวกรที่ต้องการศึกษาพฤติกรรมบางอย่างของสิ่งมีชีวต รวมถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่นศึกษาการกระจายถิ่นที่อยู่ของนก การกระจายของแบคทีเรีย การสร้างอาณาจักรของมด ผึ้ง ชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ป่าต่าง ๆ การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตลอดจนระบบนิเวศวิทยา ความสนใจในการจำลองความเป็นอยู่ของ สิ่งมีชีวิตได้มีมานานแล้ว เริ่มตั้งแต่ครั้ง จอห์น พอยเมน ผู้เป็นนักคณิตศาสตร์ เสนอแนวคิดการทำให้เครื่องจักรทำงานโดยอัตโนมัติภายใต้โปรแกรม ซึ่งเป็นรากฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์ จนถึงปัจจุบันเกมแห่งชีวิตจึงเกิดขึ้น

2.6.6ประยุกต์ใช้ในงานด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม
              เทคโนโลยีของการสื่อสารและโทรคมนาคมในปัจจุบันก้าวไกลไปมาก มีบริการมากมายที่ทันสมัยและตอบรับกับการนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ตัวอย่างการใช้โทรศัพท์ในปัจจุบันนี้ก็มิไดมีไว้เพียงสำหรับคุยสนทนาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่มันสามารถช่วยงานได้มากขึ้น โดยอ้างอิงข้อมูลและการเปิดให้บริการของบริษัท มีติดต่อสื่อสารผ่านดาวเทียมทั้งภาพและเสียง มีโทรศัพท์มือถือรุ่นต่าง ๆ ออกมามากมาย พัฒนาทั้งหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน เช่นเทเลคอม เอเชีย คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้วางแผนการก่อสร้าง และติดตั้งขยายบริการโทรศัพท์พื้นฐาน 2.6 ล้านเลขหมาย ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงการซ่อมบำรุงรักษาเป็นระยะเวลา 25 ปี และเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการในปัจจุบัน

2.6.7ประยุกต์ใช้ในงานด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์
             การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการออกแบบ ได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการออกแบบ ( CAD : Computer Aided Design) ออกแบบผลิตภัณฑ์ ออกแบบสินค้า และสามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วยควบคุมกระบวนการผลิต ( CAM : Computer Aided Menufacturing ) เช่นควบคุมอุณหภูมิ ควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ลดแรงงาน โดยใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์ทำงาน
 
2.6.8ประยุกต์ใช้ในสำนักงานภาครัฐและเอกชน
             ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ มากมาย เช่น การทำบัตรประจำตัวประชาชน การเกิด การตาย การเสียภาษีอากร การทำใบอนุญาตขับรถยนต์ การจ่ายค่าสาธารณูปโภคต่างๆ การประมวลผลคะแนนเลือกตั้ง ฯลฯ เป็นต้น งานเหล่านี้ได้มีการนำระบบสำนักงานอัตโนมัติเข้ามาใช้ เพื่อทำให้ได้ข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว และยังตอบสนองกับการบริหารยุคใหม่ที่ต้องใช้ข้อมูลเป็นหลักในการบริหารจัดการ

             กล่าวโดยสรุปคือ ได้มีการนำคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ เกือบทุกวงการ ทั้งภาครัฐและเอกชนไม่ว่าจะอยู่ในรูปของบุคคลหรือองค์กรใด ๆ ก็ตาม ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการศึกษาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ในหน่วยงานด้านการศึกษาก็มีความตื่นตัวและเปิดทำการเรียนการสอนในหลักสูตรดังกล่าว ทั้งในระดับ อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา และเป็นสาขาวิชาที่มีนักศึกษา ให้ความสนใจ กันมากเนื่องจากยังมีตลาดแรงงานรองรับมากนั่นเอง

หน่วยที่ 12 การแก้ไข ตกแต่ง และการฉายสไลด์จากโปรแกรมการนำเสนอผลงาน

ในการสร้างงานนำเสนอด้วยโปรแกรม Microsoft Powerpoint นอกจากการป้อนข้อมูล รูปภาพ กราฟ หรือข้อมูลใดๆ ลงบนสไลด์แล้ว ยังสามารถแก้ไข ตกแต่ง เปลี่ย...